ลิลิตตะเลงพ่าย
ลิลิต
ตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสและ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์
เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
ที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๕
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
โดยตะเลงในที่นี้หมายถึง มอญมีอยู่ ๒ ฉบับ คือ
ลิลิตตะเลงพ่าย ฉบับร้อยกรอง
ลิลิตตะเลงพ่าย ฉบับร้อยแก้ว
ใน
แต่ละฉบับแบ่งออกเป็น ๑๒ ตอน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงนิพนธ์ร่วมกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์
(พระองค์เจ้ากปิษฐาขัตติยกุมาร)
ประวัติลิลิตตะเลงพ่าย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์
ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทรฺ และเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเจ้าจอมมารดาจุ้ย
ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทรฺ และเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเจ้าจอมมารดาจุ้ย
พระองค์เจ้าวาสุกรี ประสูติ ณ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น 5 ค่ำ ปีจอ จุลศักราช 1152 ตรงกับวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2333 เมื่อมีพระชันษาได้ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุพน และทรงศึกษาอยู่ในสำนักของสมเด็จพระวันรัต พระองค์ได้ผนวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และในรัชกาลนี้ได้โปรดให้พระองค์เจ้าวาสุกรีได้ทรงกรมเป็นครั้งแรก เป็น "กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้กรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯทรงบังคับัญชาวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯเสมอพระราชาคณะ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนกรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯ เป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสศรีสุคตขัติยวงศ์บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาชวราง-
กูร
กูร
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น 9 ค่ำ ตรงกับวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2396 พระชนมายุได้ 63 พรรษา 4 วัน และในฐานะที่ทรงเป็นประมุขที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศรัทธามาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพจากวัดพระเชตุพนไปประดิษฐาน ณ พระเมรุที่ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันเสาร์ที่ 8 เมษายน ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2397 เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพะจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ที่พระตำหนักวัดพระเชตุพน และโปรดให้มีตำแหน่งฐานานุกรมรักษาพระอัฐิต่อมา ถึงเวลาเข้าพรรษา พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี เมื่อถึงวันเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินที่วัดพระเชตุพน ก็โปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานที่ในพระอุโบสถ ทรงสักการะบูชาแล้วผ้าไตรปี โปรดฯ ให้พระฐานานุกรมพระอัฐิสดับปกรณ์เป็นประเพณีเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ถึงรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสขึ้นเป็น "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส"
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นอกจากจะทรงพระเกียรติคุณในทางคติธรรมแล้ว ยังทรงพระเกียรติคุณในทางคดีโลกด้วย คือ ได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็นรัตนกวีพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
คำประพันธ์ที่ทรงใช้ในการนิพนธ์ เรียกว่า ลิลิต เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ โคลงที่ใช้มีทั้ง โคลง 2 โคลง 3 และโคลง 4 ตอนท้ายเป็นโคลงกระทู้ซึ่งเป็นลักษณะคำประพันธ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิยมใช้ในการนิพนธ์ปิดท้ายวรรณคดีที่ทรงนิพนธ์เกือบทุกเรื่อง
ลักษณะการแต่ง
แต่ง
ด้วยลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ
และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไป จำนวน ๔๓๙ บท
โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น
ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาพย์
จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์
คำประพันธ์ที่ใช้แต่ง
เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท ร่ายสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสองสุภาพ
ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบทหนึ่งมีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป และตอนท้ายต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพ ร่ายสุภาพแต่ละวรรคกำหนดให้มี 5 คำ เมื่อรวมกับโคลงสองสุภาพแล้วจะได้แผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ฯลฯ
๐ ๐ ๐ ๐ (ต่อไปเป็นโคลงสองสุภาพ) ๐ ๐ ๐ อ ท ๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สำหรับสัมผัสบังคับของร่ายสุภาพ กำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ 1 หรือที่ 2 หรือที่ 3 เพียงดำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไป การส่งสัมผัสเป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งจบด้วยโคลงสองสุภาพ ส่วนสัมผัสในซึ่งเป็นสัมผัสที่ไม่บังคับในร่ายสุภาพใช้ไดทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ แต่นิยมสัมผัสพยัญชนะมากกว่า
ตัวอย่างร่ายสุภาพ.............
เสร็จเสาวนีย์สั่งสนม เนืองบังคมคำราช พระบาทบทันนิทรา จวนเวลาล่วงสาง พื้นนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า แสงทองจ้าจับเมฆ........ฯลฯ..........ขอลาองค์ท่านไท้ ไปเผด็จดัสกรให้ เหือดเสี้ยนศึกสยาม สิ้นนา
โคลงสามสุภาพ
โคลงสามสุภาพบทหนึ่งมี 4 วรรค ๆ ละ 5 คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายซึ่งมี 4 คำ และมีคำสร้อยตอนท้ายอีก 2 คำ ดังแผนผังโคลงสามสุภาพดังนี้
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ ๐ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สัมผัสโคลงสามสุภาพกำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำที่ 3 ของวรรคที่ 2 และคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
ตัวอย่างโคลงสามสุภาพ........... ล่วงลุด่านเจดีย์ สามองค์มีแห่งหั้น
แดนต่อแดนกันนั้น เพื่อรู้ราวทาง
ลักษณะบังคับของโคลงสองสุภาพ
โคลงสองสุภาพบทหนึ่งมี 3 วรรค ๆ หนึ่งมี 5 คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายมีเพียง 4 คำ ในตอนท้ายมีคำสร้อยได้ 2 คำ ดังแผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ อ ท ๐ อ ๐ ๐ ท
อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สัมผัสของโคลงสองสุภาพมีเพียงแห่งเดียว คือคำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ 2
ตัวอย่างโคลงสองสุภาพ........ พระฟังความลูกท้าว ลาเสด็จศึกด้าว
ดั่งเบื้องบรรหาร
ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี 4 บาท แต่ละบาทประกอบด้วย 2 วรรค คือ วรรคหน้า 5 คำ วรรหลัง 2 คำ ยกเว้นบาทที่ 4 ที่มีวรรคหลัง 4 คำ นอกจากนี้ในบาทที่ 1 และบาทที่ 3 อาจมีสร้อยคำได้อีกบาทละ 2 คำ ดังแผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
๐ อ ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ ๐ อ ๐ ๐ ๐ อ (๐ ๐)
๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐
โคลงสี่สุภาพบังคับคำเอก 7 คำ คำโท 4 คำ โดยถือรูปวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์ และคำเอกอาจใช้คำตายแทนได้ สัมผัสโคลงสี่สุภาพได้แก่ คำสุดท้ายของบาทที่ 1(ไม่นับคำสร้อย) ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 5 ของบาทที่ 2 และบาทที่ 3 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 5 ของบาทที่ 4 ส่วนสัมผัสในของโคลงสี่สุภาพนิยมสัมผัสอักษร
ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ........ กระเต็นกระตั้วตื่น แตกคน
ยูงย่องยอดยูงยล โยกย้าย
นกเปล้านกปลีปน ปลอมแปลก กันนา
คล่ำคล่ำคลิ้งโคลงคล้าย คู่เคล้าคลอเคลีย
เนื้อเรื่อง
เริ่ม
ต้นชมบุญบารมีและพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
แล้วดำเนินความตามประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงทราบว่า
สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรได้ครองราชย์สมบัติ
พระองค์จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนกษัตริย์
สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ
พระพี่น้องทั้งสองอาจรบพุ่งชิงความเป็นใหญ่กัน ยังไม่รู้เหตุผลประการใด
ควรส่งทัพไปเหยียบดินแดนไทย เป็นการเตือนสงครามไว้ก่อน
ถ้าเหตุการณ์เมืองไทยไม่ปกติสุขก็ให้โจมตีทันที
ขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบตามพระราชดำรีนั้น พระจ้าหงสาวดีจึงตรัสให้
พระมหาอุปราชเตรียมทัพร่วมกับพระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่
แต่พระมหาอุปราชกราบทูลพระบิดาว่าโหรทายว่าชันษาของพระองค์ร้ายนัก
ตอนที่ 1 "เริ่มบทกวี"
ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่กำลังปกครองบ้านเมืองในสมัยของผู้ทรงนิพนธ์
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ"
พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้
1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน
2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น
3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ
4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา
5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ
6. รู้หลักพิชัยสงคราม
7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ
8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน
ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี"
พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร"
ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
เจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายหลัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยจึงตามมาทัน ช่วยกันไล่ฟันทหารพม่าตายมากมาย
ตอนที่ 11 "สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร"
คุณธรรมที่ได้รับจากเรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย
1 .ความรอบคอบไม่ประมาท
ใน เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและ สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ มากที่สุดคือ ความรอบคอบ ไม่ประมาท
ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า
๖๒(๑๖๔) พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง
เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า
คือใครจักคุมคง ควรคู่ เข็ญแฮ
อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง
หลัง จากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรงสั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อ ว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
2 .การเป็นคนรู้จักการวางแผน
จาก การที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วง ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผนการรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ หน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผนของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช
๖๓(๑๖๕) พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี กาจแกล้ว
พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย
กูไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน
เมื่อ เราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้วเราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการ ดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ มีแบบแผน ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็น ได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง
3. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
จาก บทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดานั้น แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และรำพึงกับตัวเอง ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
๕๑(๑๕๒) ณรงค์นเรศด้าว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ มอด ม้วยแฮ
เหตูบ่มีมือผู้ อื่นต้านทานเข็ญ
ซึ่ง เมื่อแปลจะมีความหมายว่า เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบแทนท่านพ่อ จากโคลงนี้ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อพระราชบิดาของพระมหา อุปราชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกตัญญู ความ
จงรัก ภักดี ต่อชาติบ้านเมืองอีก
4. การเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ
สมเด็จ พระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถทางด้านการมีความ สติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเป็น คนช่างสังเกตและมีไหวพริบ ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไขสถานการณ์อันคับขันในช่วงที่ตกอยู่ใน วงล้อมของพม่าได้ ซึ่งฉากที่แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมทางด้านนี้คือ
๑๓๐(๒๙๖) โดยแขวงขวาทิศท้าว ทฤษฎี แลนา
บัด ธ เห็นขุนกรี หนึ่งไสร้
เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ เรียงคั่ง ขูเฮย
หนแห่งฉายาไม้ ข่อยชี้เฌอนาม
๑๓๑(๒๙๗) ปิ่นสยามยลแท้ท่าน คะเนนึก อยู่นา
ถวิลว่าขุนศึกสำ- นักโน้น
ทวยทับเทียบพันลึก แลหลาก หลายแฮ
ครบเครื่องอุปโภคโพ้น เพ่งเพี้ยงพิศวง
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหาฉัตร5ชั้น ของพระมหาอุปราชา ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆที่มีทหารฝ่ายข้าศึกร่าย ล้อมพระองค์จนรอบ แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบเสียก่อนเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัส ท้ารบเสียก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่ายข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านนี้แล้วก็ควรยึดถือและนำไปปฏิบัติ ตามเพราะสิ่งดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง และต่อประเทศชาติได้
5. ความซื่อสัตย์
จาก เนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมายทั้งฝ่ายพม่าและฝ่าย ไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่ เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสามารถ ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดา ทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้
เรา ก็เช่นเดียวกัน....ถ้าเรารู้จักมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำมาซึ่งความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่ง ผลประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัวและชาติบ้านเมือง
5. การมีวาทศิลป์ในการพูด
จาก เรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เราเห็นถึงพระปรีชาสามารถทาง ด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
๑๗๗(๓๐๓) พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต-ดมเอย
ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด ร่มไม้
เชิญการร่วมคชยุทธ์ เผยอเกียรติ ไว้แฮ
สืบว่าสองเราไซร้ สุดสิ้นฤามี
เรา จะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาที่ไพเราะมีความสุภาพน่าฟังต่อพระมหาอุป ราชาซึ่งเป็นพี่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่ทางฝ่ายพม่าท่าน ที่สองคือ สมเด็จพระวันรัต เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร ให้กับบรรดาทหารที่ตามเสด็จพระนเรศวรในการรบไม่ทัน ซึ่งอยู่ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
๑๗๗(๓๕๗) พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง
เสด็จไร้พิริยะราญ อรินาศ ลงนา
เสนอพระยศยินก้อง เ กียรติก้องทุกภาย
การ มีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัตครั้งนี้ทำให้บรรดาขุนกรี ทหารได้รับการพ้นโทษดังนั้นจากคุณธรรมข้อนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า การพูดดีเป็นศรีแก่ตัวเมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้อง คิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด
ข้อคิดจากเรื่อง
1. ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ
2. แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่จะมารวมกันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้
3. พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
คุณค่าจากเรื่อง
๑. เป็นวรรณคดีชั้นสูงของชาติซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของวรรณคดีอื่นๆ
๒. ให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลายประการ เช่น การเล่นคำ การแทรกบทนิราศคร่ำครวญ การใช้โวหารต่างๆ
การพรรณนาฉากที่ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมและเกิดความรู้สึกคล้อยตาม
๓. ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และลักษณะผู้ฟังที่ดี
๔. ปลุกใจให้คนไทยรักและเทิดทูนแผ่นดินไทยจนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อบ้านเมืองได้
สมเด็จ
พระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าพระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีโอรสล้วนแต่เชี่ยวชาญกล้า
หาญในศึกมิเคยย่อท้อการสงคราม ไม่เคยพักให้พระราชบิดาใช้เลยต้องห้ามเสียอีก
และ หวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก
จึงเตรียมจัดทัพหลวงและทัพหัวเมืองต่างๆ เพื่อยกมาตีไทย
ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรเตรียมทัพจะไปตีกัมพูชาเป็นการแก้แค้นที่ถือโอกาส
รุกรานไทยหลายครั้งระหว่างที่ไทยติดศึกกับพม่า
พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ทรงถอนกำลังไปสู้รบกับพม่าทันที
ทัพหน้ายกล่วงหน้าไปตั้งที่ตำบลหนองสาหร่าย
ฝ่ายพระมาหาอุปราชาทรงคุมทัพมากับพระเจ้าเชียงใหม่รี้พลรบ 5
แสน เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา
และคร่าครวญถึงพระสนมกำนัลมาตลอดจนผ่านไทรโยคลำกระเพิน
และเข้ายึดเมืองกาญจนบุรีได้โดยสะดวก
ต่อจากนั้นก็เคลื่อนพลผ่านพนมทวนเกิดลางร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก
ทรงตั้งค่ายหลวงที่ตำบลตระพังตรุ
ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพยุหยาตราทางชลมารค
ไปขึ้นบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต
ต่อจากนั้นทรงกรีฑาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตำบลหนองสาหร่าย
เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตะเวน
ทรงแน่พระทัยว่าพม่าจะต้องโจมตีกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่
จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท
แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวงออกมาช่วย
ช้างพระที่นั่งลองเชือกตกมันกลับเขาไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชากรำยุทธหัตถีจนมีชัยชนะ
พระมหาอุปราชาขาดคอช้าง
สมเด็จพระเอกาทศรถกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่มังจาชโร
เมื่อ
กองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระนเรศวรมาหาราชรับสั่งให้สร้างสถูปเจดีย์
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระมหาอุปราชา
เสด็จแล้วจึงเลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เป็นอับดับจบเนื้อเรื่อง
ตอนที่ 1 "เริ่มบทกวี"
ยอพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่กำลังปกครองบ้านเมืองในสมัยของผู้ทรงนิพนธ์
ตอนที่ 2 "เหตุการณ์ทางเมืองมอญ"
พระเจ้านันทบุเรง กษัตริย์พม่าทรงทราบข่าวการสวรรคตของพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.2133) จึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชานำทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยคาดว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถอาจวิวาทชิงราชสมบัติกัน เป็นโอกาสเหมาะที่จะทำศึก ในตอนแรกพระมหาอุปราชาทรงบ่ายเบี่ยงด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิต แต่เมือพระเจ้านันทบุเรงบริภาษ จึงเกิดขัตติยมานะเสด็จทำสงคราม โดยพระเจ้านันทบบัเรงได้พระราชทานพรให้ชนะศึกและพระบรมราโชวาท ดังนี้
1. อย่าหูเบาใจเบา โดยฟังหรือดูอะไรอย่างผิวเผิน
2. อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่น
3. ให้เอาใจทหารให้มีกำลังใจฮึกเหิม กล้าหาญในการสู้รบเสมอ
4. อย่าไว้ใจคนขลาดและคนเขลา
5. รอบรู้ในการจัดกระบวนทัพ
6. รู้หลักพิชัยสงคราม
7. ให้บำเหน็จความดีความชอบแก่แม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าสามารถ
8. พากเพียรไม่เกียจคร้าน
ตอนที่ 3 "พระมหาอุปราชายกทัพเข้าเมืองกาญจนบุรี"
พระมหาอุปราชายกกองทัพมาถึงด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นด่านระหว่างพม่ากับไทย ก็ทรงขับทหารให้รุกเข้ามาในแดนไทย เมื่อพระมหาอุปราชายกทัพมาถึงตำบลพนมทวน เกิดลมเวลัมภาพัดฉัตรหัก โหรทำนายว่าลมนี้เกิดตอนเช้าไม่ดี ถ้าเกิดยามเย็นจะดีพระมหาอุปราชาจะได้ชนะไทย พระมหาอุปราชาทรงฟังแล้วยังไม่เชื่อสนิท ทรงคร่ำครวญถึงพระบิดาว่า ถ้าพระองค์สิ้นพระชนม์ในการสงคราม พระบิดาจะได้ใครช่วยเหลือ ทางฝ่ายไทย เจ้าเมืองสิงห์บุรี สรรค์บุรี สุพรรณบุรี ก็ให้ชาวเมืองอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในป่า แล้วทำหนังสือมากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบข่าวศึก
ตอนที่ 4 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเรื่องตีเมืองเขมร"
ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมราษฎรอยู่ร่มเย็นเป็นสุข พระองค์โปรดฯให้เตรียมทัพจะไปตีเขมร แต่ทรงทราบข่าวศึกพม่าจากทูตเมืองกาญจนบุรีจึงทรงระงับเรื่องการไปตีเขมร
ตอนที่ 5 "สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้พระศรีไสยณรงค์เป็นทัพหน้า พระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าไปยับยั้งข้าศึก ทั้งสองยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในชัยภูมิที่เรียกว่า สีหนาม
ตอนที่ 6 "สมเด็จพระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทัพ"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้หาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพหลวง ญาณโยคโลกทีป โหรหลวงถวายพยากรณ์ว่า สมเด็จพระนเรศวรได้จตุรงคโชคคือ 1. โชคดี 2. วัน เดือน ปี แห่งการรบดี 3. กำลังทหารเข็มแข็ง 4. อาหารสมบูรณ์ และให้เสด็จเคลื่อนทัพจากกรุงศรีอยุธยาในวันอาทิตย์ขึ้นสิบเอ็ดค่ำ เดือนยี่ เวลา 8.30 นาฬิกา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จกรีธาทัพเรือจากอยุธยาไปขึ้นบกที่ปากโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อทรงพักแรมที่ปากโมกได้เสวยสุบินนิมิตเป็นเทพสังหรณ์ คือ เทวดามาบันดาลให้สุบินว่ามีน้ำท่วมมกาทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยกระแสน้ำเชี่ยวไปปะทะจระเข้ใหญ่ สามารถฆ่าจระเข้ตาย น้ำที่ท่วมมานั้นก็เหือดแห้งไป โหรทำนายว่าพระองค์จะได้ทำยุทธหัตถีและชนะศึกครั้งนี้ เมื่อจะเสด็จกรีธาทัพบกจากปากโมก ขณะคอยฤกษ์งามยามดีก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุส่องแสงสว่างงดงาม ขนาดเท่าผลส้มเกลี่ยงลอยมาจากทิศใต้ และหมุนเวีรยนขวารอบกองทัพสามรอบแล้วลอยไปทางทิศเหนือ นับว่าเป็นศุภนิมิตที่ดียิ่ง
เมื่อได้ฤกษ์ยาม สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างชื่อเจ้าพระยาไชยนุภาพ และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร เสด็จกรีธาทัพจากปากโมกถึงหนองสาหร่าย แล้วโปรดฯ ให้ตั้งค่ายทัพหลวงที่หนองสาหร่าย ต่อกับค่ายทัพหน้าในชัยภูมิที่เรียกว่า ครุฑนามตอนที่ 7 "พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเข้าปะทะทัพหน้าของไทย"
พระมหาอุปราชาทรงใช้ให้กองลาดตระเวนมาสืบข่าวกองทัพไทย กองลาดตระเวนซึ่งมีสมิงอะคร้านเป็นขุนกอง สมิงเป่อปลัดทัพ กับสมิงซายม่วน มาสืบข่าวถึงหนองสาหร่ายเห็นกำลังกองทัพไทยมีกำลังเพียง 17-18 หมื่น แต่กองทัพพม่ามีถึง 50 หมื่นมากกว่าเกือบสามเท่า จึงรับสั่งให้กองทัพพม่ารีบเข้าโจมตีทัพไทยให้แตกพ่ายไป กองทัพพม่าออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า มาปะทะทัพหน้าของไทย ซึ่งมีพลห้าหมื่นจัดทัพเป็นตรีเสนาเก้ากอง มีผังทัพดังนี้
กองหน้า ปีกซ้าย นายกองหน้า ปีกขวาเจ้าเมืองธนบุรี พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี
กองหลวง ปีกซ้าย แม่ทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองสรรค์บุรี พระยาศรีไสยณรงค์ เจ้าเมืองสิงห์บุรี
กองหลัง ปีกซ้าย ปลัดทัพ ปีกขวา
เจ้าเมืองชัยนาท พระราชฤทธานนท์ พระยาวิเศษชัยชาญ
กองทัพหน้าของไทยต่อสู้ทัพพม่าอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่กำลังน้อยกว่าจึงสู้พลางถอยพลาง
ตอนที่ 8 "สมเด็จพระนเรศวรทรงปรึกษายุทธวิธีเอาชนะข้าศึก"
ในขณะที่สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ทำพิธีเบิกโขลนทวารและตัดไม้ข่มนาม ก่อนจะเคลื่อนกองทัพหลวง ทรงได้ยินเสียงรบพุ่งจึงให้หมื่นทิพเสนาไปสืบข่าวทรงทราบว่าทัพหน้าไทยต้านทานพม่าไม่ได้ จึงโปรดฯ ให้ทัพหน่าล่าทัพมาโดยไม่รั้งรอเพื่อให้พม่าตามมาอย่างไม่เป็นขบวน และทัพหลวงของไทยจะได้โอบล้อมโจมตีทัพพม่าให้แตกพ่าย
ตอนที่ 9 "ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้เคลื่อนกองทัพหลวง ช้างทรงเจ้าพระยาไชยานุภาพและเจ้าพระยาปราบไตรจักรตกมันควาญช้างบังคับไม่อยู่ พาทั้งสองพระองค์และควาญช้างเข้าไปท่ามกลางข้าศึก
ตอนที่ 10 "ยุทธหัตถี และชัยชนะของไทย"
สมเด็จพระนเรศวรทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยทรงท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถี ช้างทรงของพระองค์เสียที พระมหาอุปราชาจึงทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบและใช้พระแสงของ้าวรับอาวุธพระมหาอุปราชาไว้ทัน เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพได้ล่างงัดพลายพัทธกอ ช้างทรงของพระมหาอุปราชาให้เสียที สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง และสมเด็จพระเอกาทศรถก็สามารถฟันมางจาชโร พี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาให้ขาดคอช้างได้ ควาญช้างสมเด็จพระนเรศวรคือนายมหานุภาพ และกลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถคือหมื่นภักดีศวรถูกปืนข้าศึกตายในสนามรบ ที่รอดชีวิตคือเจ้ารามราฆพซึ่งเป็นกลางช้างของสมเด็จพระนเรศวรและขุนศรีคชคงซึ่งเป็นควาญช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายหลัง แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยจึงตามมาทัน ช่วยกันไล่ฟันทหารพม่าตายมากมาย
ตอนที่ 11 "สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถูปและปูนบำเหน็จทหาร"
สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้สร้างพระสถูปครอบพระศพพระมหาอุปราชาไว้ที่ตำบลตระพังตรุ แล้วโปรดฯ ให้เจ้าเมืองมล่วนนำข้อความไปกราบทูลพระเจ้านันทบุเรงว่า พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ในการสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้ แล้วจากนั้นจึงเสด็จกรีธาทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯ ให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่กลางช้างและควาญช้างของพระองค์และของสมเด็จพระเอกาทศรถ แล้วโปรดฯ ให้ตัดสินลงโทษแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทันตามกฎอัยการศึก คือ ให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันอุโบสถ คือ วันพระ แรม 15 ค่ำ จึงโปรดฯ ให้จองจำแม่ทัพนายกองไว้กอง และให้ประหารชีวิตในวันขึ้น 1 ค่ำ
ตอนที่ 12 "สมเด็จพระวันรัตขอพระราชทานอภัยโทษ"
ถึงวันแรม 15 ค่ำ สมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วนำพระราชาคณะ 25 รูปมาเข้าเฝ้า ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แม่ทัพนายกองทั้งหลาย สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษให้โดยให้ทำดีถ่ายโทษ โปรดฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังไปตีทวายและเจ้าพระยาจักรีไปตีตะนาวศรี และมะริด
คุณธรรมที่ได้รับ
1 .ความรอบคอบไม่ประมาท
ใน เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและ สิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ มากที่สุดคือ ความรอบคอบ ไม่ประมาท
ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า
๖๒(๑๖๔) พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง
เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า
คือใครจักคุมคง ควรคู่ เข็ญแฮ
อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง
หลัง จากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรงสั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อ ว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
2 .การเป็นคนรู้จักการวางแผน
จาก การที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วง ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผนการรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพ หน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผนของสมเด็จพระ นเรศวรมหาราช
๖๓(๑๖๕) พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี ท่านนา
คือพระยาจักรี กาจแกล้ว
พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย
กูไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน
เมื่อ เราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้วเราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการ ดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ มีแบบแผน ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็น ได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง
3. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
จาก บทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดานั้น แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย อาทร ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด และรำพึงกับตัวเอง ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
๕๑(๑๕๒) ณรงค์นเรศด้าว ดัสกร
ใครจักอาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ มอด ม้วยแฮ
เหตูบ่มีมือผู้ อื่นต้านทานเข็ญ
ซึ่ง เมื่อแปลจะมีความหมายว่า เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบแทนท่านพ่อ จากโคลงนี้ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อพระราชบิดาของพระมหา อุปราชาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกตัญญู ความ
จงรัก ภักดี ต่อชาติบ้านเมืองอีก
4. การเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ
สมเด็จ พระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถทางด้านการมีความ สติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเป็น คนช่างสังเกตและมีไหวพริบ ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไขสถานการณ์อันคับขันในช่วงที่ตกอยู่ใน วงล้อมของพม่าได้ ซึ่งฉากที่แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมทางด้านนี้คือ
๑๓๐(๒๙๖) โดยแขวงขวาทิศท้าว ทฤษฎี แลนา
บัด ธ เห็นขุนกรี หนึ่งไสร้
เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ เรียงคั่ง ขูเฮย
หนแห่งฉายาไม้ ข่อยชี้เฌอนาม
๑๓๑(๒๙๗) ปิ่นสยามยลแท้ท่าน คะเนนึก อยู่นา
ถวิลว่าขุนศึกสำ- นักโน้น
ทวยทับเทียบพันลึก แลหลาก หลายแฮ
ครบเครื่องอุปโภคโพ้น เพ่งเพี้ยงพิศวง
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหาฉัตร5ชั้น ของพระมหาอุปราชา ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆที่มีทหารฝ่ายข้าศึกร่าย ล้อมพระองค์จนรอบ แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบเสียก่อนเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัส ท้ารบเสียก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่ายข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านนี้แล้วก็ควรยึดถือและนำไปปฏิบัติ ตามเพราะสิ่งดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง และต่อประเทศชาติได้
5. ความซื่อสัตย์
จาก เนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมายทั้งฝ่ายพม่าและฝ่าย ไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่ เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสามารถ ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดา ทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้
เรา ก็เช่นเดียวกัน....ถ้าเรารู้จักมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำมาซึ่งความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่ง ผลประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัวและชาติบ้านเมือง
5. การมีวาทศิลป์ในการพูด
จาก เรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เราเห็นถึงพระปรีชาสามารถทาง ด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด ท่านแรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
๑๗๗(๓๐๓) พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต-ดมเอย
ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด ร่มไม้
เชิญการร่วมคชยุทธ์ เผยอเกียรติ ไว้แฮ
สืบว่าสองเราไซร้ สุดสิ้นฤามี
เรา จะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาที่ไพเราะมีความสุภาพน่าฟังต่อพระมหาอุป ราชาซึ่งเป็นพี่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่ทางฝ่ายพม่าท่าน ที่สองคือ สมเด็จพระวันรัต เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร ให้กับบรรดาทหารที่ตามเสด็จพระนเรศวรในการรบไม่ทัน ซึ่งอยู่ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
๑๗๗(๓๕๗) พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง
เสด็จไร้พิริยะราญ อรินาศ ลงนา
เสนอพระยศยินก้อง เ กียรติก้องทุกภาย
การ มีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัตครั้งนี้ทำให้บรรดาขุนกรี ทหารได้รับการพ้นโทษดังนั้นจากคุณธรรมข้อนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า การพูดดีเป็นศรีแก่ตัวเมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้อง คิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด
ข้อคิดจากเรื่อง
1. ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ
2. แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่จะมารวมกันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้
3. พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
คุณค่าจากเรื่อง
๑. เป็นวรรณคดีชั้นสูงของชาติซึ่งถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของวรรณคดีอื่นๆ
๒. ให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์หลายประการ เช่น การเล่นคำ การแทรกบทนิราศคร่ำครวญ การใช้โวหารต่างๆ
การพรรณนาฉากที่ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมและเกิดความรู้สึกคล้อยตาม
๓. ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และลักษณะผู้ฟังที่ดี
๔. ปลุกใจให้คนไทยรักและเทิดทูนแผ่นดินไทยจนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อบ้านเมืองได้
นางสาวชลิตา อิ่มเต็ม ม.๕/๓ เลขที่ ๑๖
ตอบลบ